วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

คำสมาสและคำสนธิ


คำสมาสและคำสนธิ

ผู้บรรยายความรู้ ไทยคุง(จากเรื่องเฮตาเลียค่ะ)

*ป.ล.เป็นงานส่งครูค่ะ= w =
*แหล่งข้อมูล https://kunkrunongkran.wordpress.com

       สวัสดีครับทุกคน ผมมีชื่อว่าไทย วันนี้ผมจะมาอธิบายเกี่ยวกับคำสมาสและคำสนธินะครับ


          คำสมาส   เป็นลักษณะของการสร้างคำขึ้นใหม่ โดยดัดแปลงจากไวยากรณ์บาลีและสันสกฤต เพื่อให้มีคำใช้มากขึ้นเช่นเดียวกับคำประสม หลักการสังเกตว่าคำไหนเป็นคำสมาสมีดังนี้ครับ

๑. ต้องเป็นคำที่มาจากภาบาลีหรือสันสกฤตเท่านั้น
เช่น ราช          +             การ          =             ราชการ
        กิจ          +             กรรม         =             กิจกรรม
        วาต         +             ภัย            =             วาตภัย
๒. การอ่านคำสมาสจะอ่านเสียงสระเนื่องกัน  ถึงแม้ไม่มีรูปสระกำกับ
เช่น ถาวรวัตถุ            อ่านว่า            ถา-วอ-ระ-วัด-ถุ
         เทพบุตร                “              เทบ-พะ-บุด
         ประวัติศาสตร์        “               ประ-หวัด-ติ-สาด
๓. การแปลความหมายจะแปลจากคำหลังไปยังคำหน้า   ความหมายหลักหรือที่เรียกว่า
คำตั้งอยู่หลัง คำขยายอยู่หน้า
เช่น คำสมาส          คำขยาย       คำหลัก/คำตั้ง        คำแปล
         ราชการ                ราช                 การ                   งานของรัฐบาล
         วีรบุรุษ                  วีร                   บุรุษ                  ชายที่ได้รับยกย่องว่ากล้าหาญ
       วรรณคดี               วรรณ                คดี                  เรื่องที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี
๔. คำบาลี –สันสกฤตที่มีคำ “พระ”  ซึ่งกลายเสียงมาจากคำบาลี-สันสกฤต “วร”
เช่น    พระกร                   พระหัตถ์               พระชงฆ์               พระคทา                พระขรรค์
แต่ถ้านำหน้าภาษาอื่น  ไม่นับเป็นคำสมาส
          พระเก้าอี้    –     เก้าอี้ (จีน)                  พระเขนย       –     เขนย (เขมร)
          อู่            –     อู่ (ไทย)                      พระขนอง      –     ขนอง (เขมร)
๕. คำสมาสต้องไม่ประวิสรรชนีย์ระหว่างคำ
เช่น อิสระ     +             ภาพ        =             อิสรภาพ
        พละ       +             ศึกษา      =             พลศึกษา
        วีระ         +             ชน          =             วีรชน
๖. คำสมาสจะตัดตัวการันต์ระหว่างคำทิ้ง
เช่น เจดีย์       +    สถาน       =        เจดียสถาน
        ทิพย์       +    เนตร        =        ทิพยเนตร
        พิพิธภัณฑ์    + สถาน       =        พิพิธภัณฑสถาน
๗. คำที่ลงท้ายด้วยคำว่า   "ศาสตร์    กรรม    ภาพ     ภัย "
เช่น ศิลปศาสตร์           วิทาศาสตร์            เวชศาสตร์
        โจรกรรม                   ธุรกรรม                   วีรกรรม
         คุณภาพ                อัจฉริยภาพ           สมรรถภาพ

ต่อไป จะเป็นคำสนธินะครับ คำสนธิ คือการสมาสคำโดยการเชื่อมคำเข้าระหว่างพยางค์หลังของคำหน้ากับพยางค์หน้าของคำหลัง เป็นการย่ออักขระให้น้อยลงเวลาอ่านจะเกิดเสียงกลมกลืนเป็นคำเดียวกันครับ        การสนธิแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท มี ๑. สระสนธิ ๒. พยัญชนะสนธิ ๓. นฤคหิตสนธิ 
๑. สระสนธิ  คือการนำคำที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำที่ขึ้นค้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระตามกฎเกณฑ์ดังนี้ครับ

๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้ายคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าคำหลัง

        ราช + นุภาพ = ราชานุภาพ

๑.๒ ตัดสระพยางค์ท้ายคำหน้า และใช้สระพยางค์ต้นของคำหลัง โดยเปลี่ยนสระพยางค์ต้นของคำหลัง
         อะ เป็น อา  อิเป็นเอ  อุเป็นอู  อุ,อูเป็นโอ

       พงศ + อวตาร = พงศาวดาร

๑.๓ เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้าเป็นพยัญชนะ  อิ อี เป็น ย    อุ อู เป็น ว

๒.พยัญชนะสนธิ คือการเชื่อมคำด้วยพยัญชนะเป็นการเชื่อมเสียง พยัญชนะในพยางค์ท้ายของคำแรกกับเสียงพยัญชนะหรือสระในพยางค์แรก ของคำหลัง

๒.๑ สนธิเข้าด้วยวิธี โลโป คือลบพยางค์สุดท้ายของคำหน้าทิ้ง
         
        นิรส + ภัย = นิรภัย

๒.๒ สนธิเข้าด้วยวิธี อาเสโท คือแปลงพยัญชนะท้ายของคำหน้า เป็นสระ โอ แล้วสนธิตามปกติ

         มนส + ภาพ =  มโนภาพ

๓. นฤคหิตสนธิ คือ การเชื่อมคำด้วยนฤคหิต เป็นการเชื่อมเมื่อพยางค์หลังของคำแรกเป็นนฤคหิตกับเสียงสระในพยางค์แรกของคำหลัง มี 3 วิธี 

๓.๑ นฤคหิตสนธิกับสระ ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็น ม แล้วสนธิกัน 

         สํ + อาคม = สม + อาคม = สมาคม

๓.๒ นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะของวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของพยัญชนะในแต่ละวรรค ได้แก่
วรรคกะ เป็น ง

วรรคจะ เป็น ญ

วรรคตะ เป็น น

วรรคฏะ เป็น ณ

วรรคปะ เป็น ม

เช่น  สํ + จร = สญ + จร = สัญจร

และนี่คือคลิปเกี่ยวกับคำสมาสและคำสนธิครับ









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น