คำสมาสและคำสนธิ
ผู้บรรยายความรู้ ไทยคุง(จากเรื่องเฮตาเลียค่ะ)
*ป.ล.เป็นงานส่งครูค่ะ= w =
*แหล่งข้อมูล https://kunkrunongkran.wordpress.com
สวัสดีครับทุกคน ผมมีชื่อว่าไทย วันนี้ผมจะมาอธิบายเกี่ยวกับคำสมาสและคำสนธินะครับ
คำสมาส เป็นลักษณะของการสร้างคำขึ้นใหม่ โดยดัดแปลงจากไวยากรณ์บาลีและสันสกฤต เพื่อให้มีคำใช้มากขึ้นเช่นเดียวกับคำประสม หลักการสังเกตว่าคำไหนเป็นคำสมาสมีดังนี้ครับ
๑. ต้องเป็นคำที่มาจากภาบาลีหรือสันสกฤตเท่านั้น
เช่น ราช + การ = ราชการ
กิจ + กรรม = กิจกรรม
วาต + ภัย = วาตภัย
๒. การอ่านคำสมาสจะอ่านเสียงสระเนื่องกัน ถึงแม้ไม่มีรูปสระกำกับ
เช่น ถาวรวัตถุ อ่านว่า ถา-วอ-ระ-วัด-ถุ
เทพบุตร “ เทบ-พะ-บุด
ประวัติศาสตร์ “ ประ-หวัด-ติ-สาด
๓. การแปลความหมายจะแปลจากคำหลังไปยังคำหน้า ความหมายหลักหรือที่เรียกว่า
คำตั้งอยู่หลัง คำขยายอยู่หน้า
เช่น คำสมาส คำขยาย คำหลัก/คำตั้ง คำแปล
ราชการ ราช การ งานของรัฐบาล
วีรบุรุษ วีร บุรุษ ชายที่ได้รับยกย่องว่ากล้าหาญ
วรรณคดี วรรณ คดี เรื่องที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี
๔. คำบาลี –สันสกฤตที่มีคำ “พระ” ซึ่งกลายเสียงมาจากคำบาลี-สันสกฤต “วร”
เช่น พระกร พระหัตถ์ พระชงฆ์ พระคทา พระขรรค์
แต่ถ้านำหน้าภาษาอื่น ไม่นับเป็นคำสมาส
พระเก้าอี้ – เก้าอี้ (จีน) พระเขนย – เขนย (เขมร)
อู่ – อู่ (ไทย) พระขนอง – ขนอง (เขมร)
๕. คำสมาสต้องไม่ประวิสรรชนีย์ระหว่างคำ
เช่น อิสระ + ภาพ = อิสรภาพ
พละ + ศึกษา = พลศึกษา
วีระ + ชน = วีรชน
๖. คำสมาสจะตัดตัวการันต์ระหว่างคำทิ้ง
เช่น เจดีย์ + สถาน = เจดียสถาน
ทิพย์ + เนตร = ทิพยเนตร
พิพิธภัณฑ์ + สถาน = พิพิธภัณฑสถาน
๗. คำที่ลงท้ายด้วยคำว่า "ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย "
เช่น ศิลปศาสตร์ วิทาศาสตร์ เวชศาสตร์
โจรกรรม ธุรกรรม วีรกรรม
ต่อไป จะเป็นคำสนธินะครับ คำสนธิ คือการสมาสคำโดยการเชื่อมคำเข้าระหว่างพยางค์หลังของคำหน้ากับพยางค์หน้าของคำหลัง เป็นการย่ออักขระให้น้อยลงเวลาอ่านจะเกิดเสียงกลมกลืนเป็นคำเดียวกันครับ การสนธิแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท มี ๑. สระสนธิ ๒. พยัญชนะสนธิ ๓. นฤคหิตสนธิ
๑. สระสนธิ คือการนำคำที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำที่ขึ้นค้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระตามกฎเกณฑ์ดังนี้ครับ
๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้ายคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าคำหลัง
ราช + นุภาพ = ราชานุภาพ
๑.๒ ตัดสระพยางค์ท้ายคำหน้า และใช้สระพยางค์ต้นของคำหลัง โดยเปลี่ยนสระพยางค์ต้นของคำหลัง
อะ เป็น อา อิเป็นเอ อุเป็นอู อุ,อูเป็นโอ
พงศ + อวตาร = พงศาวดาร
๑.๓ เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้าเป็นพยัญชนะ อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว
๒.พยัญชนะสนธิ คือการเชื่อมคำด้วยพยัญชนะเป็นการเชื่อมเสียง พยัญชนะในพยางค์ท้ายของคำแรกกับเสียงพยัญชนะหรือสระในพยางค์แรก ของคำหลัง
๒.๑ สนธิเข้าด้วยวิธี โลโป คือลบพยางค์สุดท้ายของคำหน้าทิ้ง
นิรส + ภัย = นิรภัย
๒.๒ สนธิเข้าด้วยวิธี อาเสโท คือแปลงพยัญชนะท้ายของคำหน้า เป็นสระ โอ แล้วสนธิตามปกติ
มนส + ภาพ = มโนภาพ
๓. นฤคหิตสนธิ คือ การเชื่อมคำด้วยนฤคหิต เป็นการเชื่อมเมื่อพยางค์หลังของคำแรกเป็นนฤคหิตกับเสียงสระในพยางค์แรกของคำหลัง มี 3 วิธี
๓.๑ นฤคหิตสนธิกับสระ ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็น ม แล้วสนธิกัน
สํ + อาคม = สม + อาคม = สมาคม
๓.๒ นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะของวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของพยัญชนะในแต่ละวรรค ได้แก่
วรรคกะ เป็น ง
วรรคจะ เป็น ญ
วรรคตะ เป็น น
วรรคฏะ เป็น ณ
วรรคปะ เป็น ม
เช่น สํ + จร = สญ + จร = สัญจร
และนี่คือคลิปเกี่ยวกับคำสมาสและคำสนธิครับ
๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้ายคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าคำหลัง
ราช + นุภาพ = ราชานุภาพ
๑.๒ ตัดสระพยางค์ท้ายคำหน้า และใช้สระพยางค์ต้นของคำหลัง โดยเปลี่ยนสระพยางค์ต้นของคำหลัง
อะ เป็น อา อิเป็นเอ อุเป็นอู อุ,อูเป็นโอ
พงศ + อวตาร = พงศาวดาร
๑.๓ เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้าเป็นพยัญชนะ อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว
๒.พยัญชนะสนธิ คือการเชื่อมคำด้วยพยัญชนะเป็นการเชื่อมเสียง พยัญชนะในพยางค์ท้ายของคำแรกกับเสียงพยัญชนะหรือสระในพยางค์แรก ของคำหลัง
๒.๑ สนธิเข้าด้วยวิธี โลโป คือลบพยางค์สุดท้ายของคำหน้าทิ้ง
นิรส + ภัย = นิรภัย
๒.๒ สนธิเข้าด้วยวิธี อาเสโท คือแปลงพยัญชนะท้ายของคำหน้า เป็นสระ โอ แล้วสนธิตามปกติ
มนส + ภาพ = มโนภาพ
๓. นฤคหิตสนธิ คือ การเชื่อมคำด้วยนฤคหิต เป็นการเชื่อมเมื่อพยางค์หลังของคำแรกเป็นนฤคหิตกับเสียงสระในพยางค์แรกของคำหลัง มี 3 วิธี
๓.๑ นฤคหิตสนธิกับสระ ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็น ม แล้วสนธิกัน
สํ + อาคม = สม + อาคม = สมาคม
๓.๒ นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะของวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของพยัญชนะในแต่ละวรรค ได้แก่
วรรคกะ เป็น ง
วรรคจะ เป็น ญ
วรรคตะ เป็น น
วรรคฏะ เป็น ณ
วรรคปะ เป็น ม
เช่น สํ + จร = สญ + จร = สัญจร
และนี่คือคลิปเกี่ยวกับคำสมาสและคำสนธิครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น